วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เล่นโยคะทุกวัน แต่ทำไมฉันยังปวดคอ บ่าได้อีก ดูจากสะบักขวาสิ

 


เล่นโยคะทุกวัน แต่ทำไมฉันยังปวดคอ บ่าได้อีก

ดูจากสะบักขวาสิ


มีเคสที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ศึกษากันต่อเนื่องเลยครับ สำหรับเคสนี้มาด้วยอาการปวดตึงคอ บ่า และสะบักขวา โดยอาการปวดจะเป็นๆหายๆเหมือนคนเป็นโรค office syndrome ทั่วไป ไม่ถึงขั้นปวดร้าวขึ้นหัว หรือปวดจนทรมานอะไรแบบนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีอาการตึงหลังล่างหน่อยๆด้วย


อาการปวดที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับคนไข้รายนี้มากนัก คนไข้ยังคงทำงานได้ นอนหลับได้ กินได้ดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ แต่ แต่อาการนี้มันสร้างความสงสัยและความรำคาญใจให้คนไข้มากกว่า เพราะว่าคนไข้รายนี้เล่นโยคะทุกวัน แถมเล่นได้ดีมากๆซะด้วย 



วิธีสังเกตุสะบักหลังโดยการตีเส้น


แล้วมันน่าแปลกใจที่ว่า "ทำไมฉันเล่นโยคะทุกวัน ยืดเหยียดกล้ามเนื้ออยู่บ่อยๆ ยืนจนตัวอ่อนสุดๆแล้ว แต่ทำไมฉันยังปวดกล้ามเนื้อได้อยู่อีกละ" เรื่องนี้เรามาหาคำตอบในร่างกายคนไข้รายนี้กันครับ


เหมือนกับคนไข้หลายๆคนที่มาคลินิกผม คือ พอมาถึงป๊าบก็จับถอดเสื้อออกเพื่อดูแนวกระดูกสันหลัง และโครงสร้างกระดูกกล้ามเนื้อทั้งซีกซ้ายและขวาว่า มันสมดุลกันมั้ย จากนั้นก็ใช้ปากกาขีดๆเขียนๆลากเส้นไปบนหลังคนไข้เพื่อให้เห็นความผิดปกติได้อย่างชัดๆ พอลากเสร็จป๊าบบบบ ถึงได้รู้สาเหตุว่าทำไมถึงปวดคอ บ่า สะบักขวาเรื้อรัง

เปรียบเทียบสะบักทั้ง 2 ข้าง


มันเกิดจากบุคลิกคนไข้เองนั่นแหละครับ โดยคนไข้มีภาวะไหล่ห่อข้างขวา คอยื่นไปด้านหน้าตลอดเวลา และยืนทิ้งนํ้าตัวไปด้านหน้าตลอดนั่นเอง


ซึ่งการที่ไหล่ขวาห่อไปด้านหน้าตลอด มันทำให้กล้ามเนื้อบ่าขวา และสะบักหลังถูกยืดอยู่ตลอดเวลา แล้วการที่กล้ามเนื้อถูกยืดอยู่ตลอดเนี่ยแหละ มันก็ทำให้กล้ามเนื้อตึงได้เหมือนกันนะ (ถูกยืดมากจนตึงค้าง) พอกล้ามเนื้อตึงมากๆเข้าเส้นใยกล้ามเนื้อภายในก็หดรั้งตึงจนเป็นก้อนนูนขึ้นมาที่เรียกว่า ก้อน trigger point ที่สร้างอาการปวดกล้ามเนื้อให้เราได้อยู่เนืองๆนั่นเอง



สังเกตุสะบักขวาจะมีช่องว่างมากกว่าซ้าย


แล้วเจ้าก้อน trigger point เหล่านี้ สำหรับคนที่กล้ามเนื้อยืดหยุ่นดีมากๆอยู่แล้ว การยืดกล้ามเนื้อไม่ได้ช่วยให้ก้อน trigger point คลายตัวลงได้นะ เราต้องใช้การกด การนวดไปที่ก้อนเหล่านี้โดยตรง หรือใช้การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านก็จะช่วยคลายความตึงลงได้เช่นกัน


นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมเราเล่นโยคะ หรือเน้นยืดกล้ามเนื้ออย่างเดียวอาการปวดตึงกล้ามเนื้อถึงไม่หายขาดไปได้ซะที นานวันเข้าเราก็จะสังเกตุได้ว่า เราสามารถยืดกล้ามเนื้อได้เยอะขึ้น ตัวอ่อนมากขึ้น แต่ยิ่งยืดมากเท่าไหร่อาการปวดกลับไม่ได้ลดลงเลย มิหนำซํ้ายิ่งยืดมากเรากลับยิ่งรู้สึกปวดมากกว่าเดิมด้วยซํ้า ถ้าเพื่อนๆมีอาการคล้ายๆกันแบบนี้อยู่ละก็ แนะนำว่าให้ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน โดยเน้นออกมัดที่เราปวดเป็นประจำจะช่วยให้หายปวดได้ชะงักเลยละครับ


ลักษณะการยืนของคนไข้ ที่ทำให้ปวดหลังล่าง


ส่วนอาการปวดตึงหลังล่างก็มาจากท่ายืนที่ชอบยืนเอนตัวไปด้านหน้าตลอดเวลา (ดูจากรูปถ่ายด้านข้าง) พอตัวเอนไปด้านหน้ามากๆเข้า ตัวเราจะเสียสมดุลแล้วเสี่ยงล้มไปด้านหน้าได้ ร่างกายก็จะปรับตัวโดยการแอ่นหลังล่างร่วมด้วย แล้วการที่หลังแอ่นเนี่ยแหละ มันทำให้กล้ามเนื้อหลังล่างต้องออกแรงเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ซึ่งการที่กล้ามเนื้อเกร็งอยู่ตลอดมันทำให้กล้ามเนื้อล้า และเกิดอาการปวดได้นั่นเองครับ 




วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ดูเผินๆแล้วเป็นหลังคด แต่จริงๆแล้วมันไม่ช่ายยยยย

 


ดูเผินๆแล้วเป็นหลังคด

แต่จริงๆแล้วมันไม่ช่ายยยยย


มีเคสนึงที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ศึกษากัน ซึ่งคนไข้รายนี้มาหาผมด้วยอาการปวดตึงหลังล่างตามแนวขอบกางเกงใน โดยอาการปวดหลังจะปวดแบบตึงๆ ชวนให้รำคาญมากกว่าจะปวดแบบทรมาน 


แต่สิ่งที่สร้างความลำบากใจจริงๆก็คือ คนไข้มีอาการปวดเรื้อรังมาเป็นปี รักษามาทุกรูปแบบแล้ว ส่วนใหญ่ก็ดีขึ้นชั่วคราว แล้วก็กลับมาปวดใหม่ซํ้าไปซํ้ามาแบบนี้ ทั้งๆที่ตนเองก็อายุแค่ 20 ปลายๆ ร่างกายก็แข็งแรงดี ออกกำลังกายเล่นกีฬาได้ตามปกติ แต่ทำไมรักษาไม่หาย แล้วถ้าอายุมากขึ้นอาการปวดหลังจะรุนแรงกว่านี้มั้ย นั่นจึงเป็นที่มาของการตระเวนไปรักษาหลังมาหลายที่นั่นเอง 


พอคนไข้มาถึงผมก็จับตรวจร่างกายตามปกติ โดยให้คนไข้ถอดเสื้อ แล้วใช้ปากการะบุตำแหน่งตามปุ่มกระดูกช่วงหัวไหล่ สะบัก และเชิงกรานทั้ง 2 ข้าง เพื่อดูว่าร่างกายซีกซ้าย-ขวามันเท่ากันมั้ย 


ร่างกายซีกขวาตํ่าซ้าย


แล้วพอวาดลวดลายบนร่างกายคนไข้เสร็จป้าบบบบ ผมก็ร้อง "เอ๊ะ!? ทำไมมันเบี้ยวขนาดนี้" ถ้าดูจากรูป เราจะเห็นเลยว่าร่างกายซีกขวาตํ่ากว่าซีกซ้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะหัวไหล่ สะบัก และเชิงกรานซีกขวาตํ่ากว่าทั้งหมดเลย พอเป็นแบบนี้แสดงว่าไม่น่าจะเกิดจากแค่ยืนตัวเบี้ยวเองแล้ว น่าจะเกิดจากโครงสร้างกระดูกสันหลังบิด หรือไม่ก็คดร่วมด้วยแน่ๆ


ภาพเปรียบเทียบยืนเสริมแผ่นเสริมรองเท้ากับไม่ได้เสริม


พอคิดได้ดังนั้น ผมให้คนไข้ยืนก้มหลังเอามือแตะปลายเท้าต่อทันที พอคนไข้ก้มตัวป๊าบบบบบ โอ้...เห็นจะจะเลยว่าหลังซีกซ้ายของคนไข้สูงกว่าซีกขวาอย่างมาก ซึ่งการที่คนไข้ก้มหลังเอามือแตะปลายเท้าแล้วหลังเบี้ยวแบบนี้ มันเป็นเทคนิคการตรวจหลังคดได้อย่างหนึ่ง(อย่างหยาบๆนะ) แต่เรายังปักใจเชื่อไม่ได้ว่าคนไข้เค้าหลังคดจริงๆหรือคดหลอกๆ


หลังซีกซ้ายดูนูนกว่าขวา ขณะก้มเอามือแตะปลายเท้า


ผมเลยให้คนไข้นอนบนเตียง แล้วหยิบสายวัดมาวัดความยาวขาทั้ง 2 ข้างของคนไข้ พอวัดเสร็จสัพถึงได้รู้ว่า ปัญหาร่างกายซีกขวาตํ่ากว่าซ้ายทั้งแถบ แถมหลังซีกซ้ายยังดูนูนกว่าปกติจนดูเหมือนเป็นหลังคดนั้น เกิดจากขาข้างขวาสั้นกว่าขาซ้ายถึง 1 ซม.!! 


ซึ่งการที่ขาขวาสั้นกว่าขาซ้ายถึง 1 ซม. มันมีผลให้เวลายืนตรง เราจะเห็นว่าหัวไหล่ขวา สะบักขวา และสะโพกขวา(Rt. SI joint) มันดูตํ่ากว่าข้างซ้ายอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง


ส่วนเวลาก้มหลังเอามือแตะปลายเท้า แล้วเห็นว่าหลังซีกซ้ายดูนูนกว่าซีกขวาจนดูเหมือนเป็นหลังคดนั้น ก็เพราะขาขวามันสั้นกว่าขาซ้าย ร่างกายซีกขวาเลยดูเตี้ยลงจนซีกซ้ายดูสูงนูนกว่าปกติเท่านั้นเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ถ้าผู้รักษาไม่สังเกตุให้ดีหรือตรวจไม่ครอบคลุมพอ เราอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าคนไข้รายนี้เป็นกระดูกสันหลังคด จนวางแผนการรักษาผิด แล้วทำให้อาการปวดหลังไม่หายขาดซะที


ภาพเปรียบเทียบ ยืนก้มมือแตะปลายเท้าเสริมแผ่นรองเท้ากับไม่ได้เสริม


วิธีการรักษา

การรักษาคนไข้รายนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ทำแค่ 3 อย่างเท่านั้นเอง 

.

1) เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวา 

ผมแนะนำให้คนไข้ไปซื้อแผ่นรองเท้ามาเสริมเฉพาะเท้าขวา ในช่วงแรกผมแนะให้ใช้แผ่นรองเท้าทั่วๆไปก่อน ยังไม่ถึงขั้นไปตัดแผ่นเสริมสูง 1 ซม.ทันทีนะ เพราะคนไข้เคยชินกับการยืนขาขาสั้นยาวไม่เท่ากันมานาน ถ้าจู่ๆเราไปเสริมเท้าขวาให้ขา 2 ข้างเท่ากันทันที ร่างกายจะยังปรับตัวไม่ทัน แล้วอาจทำให้ยืนตัวเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากกว่าเดิมก็ได้ 


เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวา (ขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย 1 ซม.)


2) ยืนปรับบุคลิก 

วิธีการนี้ผมให้คนไข้ยืนตัวตรง โดยใส่แผ่นเสริมรองเท้าแบบทั่วๆไปที่เท้าขวา จากนั้นคอยไกด์ให้ยืนตัวตรง ปรับไหล่ให้เท่ากัน ยืนลงนํ้าหนักเท้าให้เท่ากันทั้ง 2 ข้าง แล้วให้ยืนนิ่งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 15 นาที เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการยืนตรงอย่างถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่การยืนตัวบิดเบี้ยวไปมา 


ภาพเปรียบเทียบ เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวาอย่างเดียว กับปรับบุคลิกร่วมด้วย


แล้วทันทีที่ผมไกด์จนคนไข้ยืนตรงได้ถูกต้องแล้ว คนไข้บอกผมทันทีเลยว่า "นี่ตรงแล้วหรอครับ ผมรู้สึกยืนตัวเบี้ยวมากๆ แถมต้องเกร็งมากๆเลยถึงจะยืนแบบนี้ได้" พอคนไข้บอกแบบนี้ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ชี้ไปที่กระจกให้ดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก แล้วถามว่า "มองตัวเองในกระจกแล้ว คิดว่าเรายืนตัวตรงมั้ย หัวไหล่ และสะโพกทั้ง 2 ข้างสูงใกล้เคียงกันมั้ย?" คนไข้ตอบว่า "หัวไหล่และสะโพกทั้ง 2 ข้างแทบจะเท่ากันแล้วครับ" ผมเลยบอกต่อไปว่า "เวลากลับไปฝึกที่บ้าน ให้ดูกระจกตลอดนะ จงเชื่อสายตา อย่าพึ่งเชื่อความรู้สึกของร่างกายตอนนี้ มันยังชินกับการยืนเบี้ยวๆอยู่เด้ออออ"


3) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว

สำหรับการออกกำลังกายในคนไข้รายนี้ จะเน้นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเป็นหลักเลยครับ เป็นท่าออกกำลังกายทั่วๆไปที่เราเห็นตามฟิตเนสเลยนะ เช่น ท่า plank, side plank, ฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นต้น เพื่อให้กล้ามเนื้อเหล่านี้ช่วยพยุงโครงสร้างแกนกลางลำตัวให้นิ่ง เวลายืนปรับบุคลิกจะได้ยืนคุมตัวให้ตรงได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ


สำหรับเพื่อนๆบางคนอาจจะมีข้อสงสัยว่า จู่ๆขาคนเรามันสั้นยาวไม่เท่ากันมันเกิดได้ยังไง? หลักๆเลยเกิดจาก 2 สาเหตุครับ 

1) เป็นมาแต่กำเนิด : คือ เกิดมาปุ๊บขามันก็สั้นยาวไม่เท่ากันเองดื้อๆเลย หรือขาข้างนึงดันโตช้ากว่าอีกข้างนึงโดยไม่ทราบสาเหตุ

2) เกิดจากอุบัติเหตุ : เช่น เคยรถล้มกระดูกขาหักไปข้างนึง เนื้อกระดูกหายไปบางส่วนจากการหักครั้งนั้น เลยทำให้ขาข้างนั้นสั้นกว่าอีกข้าง คนไข้รายนี้ก็เกิดจากสาเหตุนี้เช่นกันครับ คนไข้บอกว่าในวัยเด็กเคยเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าขวาหัก จนทำให้กระดูกขาส่วนข้อเท้าขวาเจริญเติบโตช้ากว่าข้างซ้าย จนส่งผลให้ขาขวาสั้นกว่าขาซ้ายก็เป็นไปได้




สรุป

อาการปวดหลังของคนไข้รายนี้มาจากขาสั้นยาวไม่เท่ากัน ส่งผลให้การยืนลงนํ้าหนักขา 2 ข้างไม่เท่ากัน จนเกิดแรงกดที่เชิงกรานข้างซ้ายและขวาไม่เท่ากันตามมา และทำให้สมดุลความตึงของกล้ามเนื้อซีกซ้ายและขวาไม่เท่ากันตามมาแล้วทำให้ปวดหลังได้นั่นเอง เมื่อคนไข้เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวาแล้วฝึกยืนปรับบุคลิกจนร่างกายคุ้นเคยกับการยืนแบบใหม่อย่างถูกต้องแล้ว อาการปวดหลังในระหว่างวันจะค่อยๆหายไปเองครับ




วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เคสน่าศึกษา 07 ปวดตาตุ่มด้านใน จากหน้าแข้งตึง

 

เคสน่าศึกษา 07 

ปวดตาตุ่มด้านใน จากหน้าแข้งตึง


มาแล้วคร้าบมาแล้วกับเคสกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยเนื้อหาในบทความนี้ผมจะพูดถึงคนไข้คนนึง (ชื่อคุณโต๋ นามสมมติ) มาหาผมด้วยอาการปวดกระดูกเท้าตรงตาตุ่มด้านในมาก จนเดินลงนํ้าหน้าเต็มฝ่าเท้าไม่ได้เลย ต้องเดินเขย่งอยู่ตลอดเวลา ไปรักษามาหลายรูปแบบ ทั้งกินยาก็แล้ว ใช้เครื่องมือกายภาพ ไปนวดก็แล้ว แถมไป x-ray ที่เท้าหมอก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ทุกอย่างปกติดี  อ้าว! ถ้าทุกอย่างปกติดีแล้วทำไมยังปวดอยู่ละ? เรามาหาคำตอบกันครับ


ตำแหน่งที่คุณโต๋ปวดตลอดเวลา


จุดเริ่มต้นของปัญหา


คุณโต๋มาหาผมด้วยอาการปวดตาตุ่มเท้าซ้ายทางด้านในเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากที่ไปเตะบอลแล้วเท้าพลิกขณะวิ่งตามลูกบอล ซึ่งคุณโต๋เล่าว่า หลังจากที่เท้าพลิกปุ๊บ ณ ตอนนั้นมีอาการปวดที่ตาตุ่มด้านในของขาซ้ายทันที ไม่สามารถเดินลงนํ้าหนักที่เท้าซ้ายได้เลย เพราะปวดตาตุ่มมาก จนต้องหยุดเล่นบอลแล้วไปนั่งดูเพื่อนๆเล่นด้วยความเซ็งตัวเอง


ภาพแสดงลักษณะที่เท้าพลิกตอนเตะบอล

กลับมาบ้านคุณโต๋ก็นอนพักขาตามปกติไม่ได้กินยาหรือรักษาอะไร เพราะคิดว่ามันน่าจะแค่อักเสบธรรมดา จนวันรุ่งขึ้นตื่นลืมตาขึ้นมา ทดลองขยับขาตัวเอง กดๆคลำๆก็ยังรู้สึกปวดตาตุ่มด้านในอยู่บ้างก็คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง 


แต่ทันทีที่เท้าซ้ายแตะลงพื้นเท้านั้นแหละ คุณโต๋กระโดดตัวลอยร้องจ๊ากด้วยความเจ็บปวดที่ตาตุ่มด้านในอย่างแสนสาหัส จนคิดว่ากระดูกมันหักรึเปล่าเนี่ย หรือเอ็นที่เท้ามันฉีก หรือกระดูกมันร้าว คิดไปต่างๆนาๆจนในที่สุดก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาล 


หมอก็ตรวจ คลำ บิดเท้านู่นนั่นนี่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไรของกระดูกเท้า แต่เพื่อความแน่ใจเลยจับเข้าเครื่อง x-ray ที่เท้า ผลปรากฎว่ากระดูกเท้าปกติดีไม่มีความผิดปกติใดๆเลย หมอเลยแจ้งกับคุณโต๋ว่า อาการที่เป็นอยู่คาดว่ามาจากเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆเท้ามันอักเสบธรรมดา แล้วได้ยาลดปวดกับยาคลายกล้ามเนื้อมากินตามระเบียบ แต่อย่างน้อยก็สบายใจว่า อาการปวดที่เป็นอยู่ไม่ได้เกิดจากกระดูกหักแน่นอน


หลังจากกินยาได้ 3-4 วัน อาการปวดก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย คุณโต๋ก็ลองไปทำกายภาพที่คลินิกแถวบ้าน โดยใช้การรักษาด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่บริเวณตาตุ่มด้านในตรงจุดที่เจ็บโดยตรง แต่อาการปวดก็ยังคงอยู่เท่าเดิมอีกเช่นกัน


หลังจากนั้นเป็นต้นมาคุณโต๋ก็ไม่ได้ไปรักษาที่ไหนเพิ่มเติมแล้ว ได้แต่บีบๆนวดๆที่เท้ากับน่องของตัวเองเวลาว่างๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ทุกๆครั้งที่คุณโต๋นวดน่องของตัวเองเสร็จ จะรู้สึกได้ว่าอาการปวดที่ตาตุ่มด้านในมันลดลง เดินลงนํ้าหนักที่เท้าซ้ายได้สบายขึ้น หลังจากนั้นก็จะใช้การบีบนวดตัวเองมาเรื่อยๆ 


จนผ่านไปได้ 15 วัน นับจากวันเกิดเหตุ อาการปวดที่เท้าลดลงไปได้ราวๆ 50% เดินได้สบายขึ้น เดินเร็วขึ้นได้ ไม่ต้องเขย่งเท้าเดินแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกตึงๆที่ตาตุ่มด้านในทุกครั้งที่เท้าซ้ายลงนํ้าหนัก ซึ่งอาการปวดก็ยังคงที่นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งมาเจอผม


ตรวจร่างกาย 


หลังจากที่สอบถามประวัติการเจ็บปวดกันยาวเหยียด ผมก็ตรวจเท้าดู ก็พบว่าจุดที่เจ็บจริงๆแล้วไม่ใช่ตาตุ่มด้านใน แต่เป็นกระดูกเท้าชิ้นนึงที่ชื่อ navicular ซึ่งอยู่ใกล้กับตาตุ่มด้านใน พอกดเข้าไปที่กระดูกชิ้นนั้น คุณโต๋ถึงกับสะดุ้งโหย่งด้วยความเจ็บ จากนั้นก็คลำกระดูกชิ้นเท้าชิ้นอื่นๆต่อไป ซึ่งก็ไม่พบความผิดปกติอะไร


ภาพ แสดงกระดูก navicular ทางด้านข้าง


จากนั้นผมก็ลองบิดเท้าซ้ายที ขวาที ก็ไม่ปวดอะไร ลองยืดน่อง ยืดหน้าแข้ง ยืดกล้ามเนื้อรอบเข่าก็ปกติ ลองกดเช็คข้อเท้าก็ปกติไม่มีปัญหาข้อติดแต่อย่างใด พอรูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ผมก็ตัดข้อสงสัยเรื่องอาการปวดที่มาจากข้อต่ออักเสบได้เลย อาการแบบนี้เป็นอาการปวดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบแน่นอน 


ภาพ แสดงกระดูก navicular ทางด้านบน

พอคิดได้ดังนั้น ผมก็วิเคราห์ต่อไปทันทีว่า กล้ามเนื้ออะไรบ้างที่มาเกาะตรงกระดูก navicular ชื่อกล้ามเนื้อแรกที่กระโดดเข้ามาในหัวก่อนใครเลยก็คือ กล้ามเนื้อ tibialis posterior ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่เกาะอยู่ตรงหน้าแข้งด้านในแล้วลากยาวมาเกาะตรงกระดูก  navicular นั่นเอง

ภาพ แสดงกล้ามเนื้อ tibialis posterior 


ทีนี้ผมก็เช็คว่ากล้ามเนื้อ tibialis posterior มีปัญหาจริงรึเปล่าโดยการใช้นิ้วกดเข้าไปที่หน้าแข้งด้านในซึ่งเป็นที่อยู่ของกล้ามเนื้อ tibialis posterior พอกดเข้าไปเท่านั้นแหละ คุณโต๋ถึงกับร้อง "โอ้ยยยยยยยยยยยย เจ็บมากกกกกกก มากกกกกกกก เลยยยยยยยยคร้าบบบบบบบ" 


เพียงเท่านี้แหละก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า ทำไมอาการปวดตาตุ่มด้านใน ไม่สิอาการปวดตรงกระดูก navicular ถึงไม่หายขาดซะที นั่นเป็นเพราะเจ้ากล้ามเนื้อ tibialis posterior มันตึงมาก แล้วไปดึงรั้งเส้นเอ็นรอบๆกระดูก navicular อีกต่อหนึ่ง 


ซึ่งการที่เส้นเอ็นรอบข้อกระดูกมันตึงมากๆ มันก็มีผลทำให้บริเวณโดยรอบไวต่อความรู้สึกมากเป็นพิเศษ พอเราเดินลงนํ้าหนักที่เท้าเส้นเอ็นที่อยู่รอบๆกระดูก navicular มันก็ถูกยืดตึงมากกว่าเดิมจากนํ้าหนักร่างกายที่กดลงไป เลยยิ่งทำให้เราปวดมากขึ้นอีก 



ภาพ แสดงตำแหน่งเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อ tibialis posterior


ถ้าเพื่อนๆยังไม่เข้าใจ ลองนึกภาพว่ามีคนมายืดกล้ามเนื้อต้นขาหลังของเราจนตึงเปรี้ยแทบจะขาดแล้ว แต่คนที่ยืดให้พูดกับเราต่อว่า ยังยืดได้อีก ยังยืดได้อีก พร้อมกันนั้นเค้าก็ออกแรงยืดขาเรามากกว่าเดิม จากเดิมที่เราแค่รู้สึกตึงจากการโดนยืดกล้ามเนื้อธรรมดา กลับกลายเป็นความเจ็บจากการที่กล้ามเนื้อโดนยืดมากเกินไปนั่นเอง 


เอ็นของกล้ามเนื้อ tibialis posterior อักเสบ
จึงทำให้ปวดใกล้ๆตาตุ่มด้านใน

ซึ่งเส้นเอ็นรอบๆกระดูก navicular ก็เช่นเดียวกัน มันตึงมากอยู่แล้วจากกล้ามเนื้อ tibialis posterior ที่ตึงแล้วไปดึงรั้งให้เส้นเอ็นตึงตาม เท่านั้นยังไม่พอ พอเราเดินลงนํ้าหนักเท้าข้างนั้น มันก็ยิ่งไปกระตุ้นให้เส้นเอ็นตึงมากกว่าเดิมจนกลายเป็นความรู้สึกเจ็บแทน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณโต๋มีอาการปวดที่กระดูก navicular  ทุกครั้งที่เดินลงนํ้าหนักนั่นเองครับ 


แต่เพื่อความแน่ใจ ผมก็ลองกดรอบๆกล้ามเนื้อหน้าแข้งกับน่องทั้งหมด เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อมัดไหนอีกบ้างที่มีปัญหา ซึ่งผลปรากฎว่ามีแค่กล้ามเนื้อ tibialis posterior เท่านั้นแหละที่ปวด 


การรักษา


วิธีการรักษาสำหรับเคสนี้ง่ายมั้กๆ คือ กล้ามเนื้อมันตึงใช่มั้ย เราก็แค่ทำยังไงก็ได้ให้มันหายตึง ซึ่งเทคนิคการรักษาที่ผมใช้แค่ "การนวด" ธรรมดาๆเลยครับ โดยจะใช้การนวดคลึงกล้ามเนื้อที่หน้าแข้งด้านในไล่ลงมาถึงเอ็นร้อยหวาย จากนั้นก็นวดไล่ขึ้นไปที่หน้าแข้งด้านในใหม่ ซึ่งตำแหน่งที่ผมนวดไล่ขึ้นๆลงๆแบบนี้ จะตรงตามตำแหน่งที่กล้ามเนื้อวางพาดอยู่นั่นเอง เราก็นวดคลึงให้ทั่วทั้งมัดไปเลย


บีบไล่จากน่องลงมา

บีบไล่ลงมาจนถึงเอ็นร้อยหวาย แล้วไหล่ขึ้นไปใหม่
หรือดูวิธีการนวดอีกแบบได้ตามคลิปนี้ https://youtu.be/mQJc2E6KPiI  ดูนาทีที่ 6:28


ผ่านไปประมาณ 10 นาที ผมสังเกตุเห็นว่ากล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลายลง จากเดิมที่กล้ามเนื้อเกร็งแข็งมากๆก็เริ่มอ่อนนุ่มลง แล้วจากเดิมที่จิ้มไปที่หน้าแข้งด้านในตรงไหนก็ปวดไปหมด ตอนนี้เหลือแค่บางจุดที่ยังปวดอยู่ นั่นแสดงว่ายังมีก้อน trigger point ซึ่งมันคือปมกล้ามเนื้อที่ตึงมากๆจนนูนเป็นก้อนขึ้น 


คลิปอธิบาย trigger point คืออะไร

https://youtu.be/q3uiqiag2FE


พอเห็นว่ากล้ามเนื้อทั้งมัดมันคลายตัวดีแล้วเหลือแค่เป็นบางจุดเท่านั้น ผมก็เปลี่ยนจากการบีบและการกดคลึงกล้ามเนื้อมาเป็นการกดเฉพาะจุดต่อทันที โดยเน้นกดเฉพาะจุดที่เจ็บเท่านั้น ซึ่งใช้เวลากดเฉพาะจุดรวมๆกันแล้วไม่ถึง 10 นาทีเจ้าก้อน trigger point ก็อ่อนนิ่มลงแล้วละครับ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นการรักษาแล้ว ง่ายมั้ยละ


กดจุดที่ปวดค้างไว้แล้วคลึงเป็นวงกลมจนอาการปวดลดลง


เมื่อจุดแรกหายปวดแล้วก็ไล่หาจุดใหม่

ผลลัพท์


หลังจากที่ผมคลายกล้ามเนื้อเสร็จสิ้น ผมก็ทดสอบผลการรักษาโดยให้คุณโต๋ลุกขึ้นมายืน พอคุณโต๋ลุกขึ้นยืนลงนํ้าหนักเต็ม 2 ขาป๊าบบบบ คุณโต๋แสดงสีหน้างงงวยทันทีพร้อมกับอุทานว่า "อ้าว ทำไมมันไม่เจ็บแล้วละ" ขณะที่พูดงึมงำๆในคอด้วยอาการงงๆ เค้าก็ก้าวขาเดินไปเดินมา ลองเขย่งขา ลองบิดข้อเท้าไปๆมาๆ  ก็ไม่มีอาการปวดเช่นกัน 


เว้นแต่ว่า ถ้าเอานิ้วไปกดที่ตัวกระดูก navicular แรงๆก็ยังมีอาการปวดให้สะดุ้งกันอยู่บ้าง แล้วพอทดสอบให้ยืนเขย่งปลายเท้าขาเดียว โดยยกขาขวาให้ลอยพื้นไว้ตลอด พอออกแรงเขย่งขึ้นปั๊บก็ยังมีอาการปวดตึงๆที่ตรงกระดูก navicular อยู่บ้าง เพียงแต่อาการปวดลดลงไปครึ่งนึงแล้วนั่นเอง


การบ้าน 


แล้วเพื่อให้อาการปวดหายไปได้อย่างถาวร เราก็ควรฝึกสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต่อไป โดยผมแนะนำท่าบริหารกล้ามเนื้อ tibialis posterior ไป 2 ท่าง่ายๆ ดังนี้


ท่าที่ 1 : ยืนเขย่งปลายเท้า 2 ขา


สำหรับท่านี้จะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ tibialis posterior โดยตรงเลยครับ เนื่องจากกล้ามเนื้อมัดนี้มีหน้าที่สำคัญคือ การกดปลายเท้าลงหรือก็คือการเขย่งปลายเท้านั่นเอง นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้เท้าของเรา ช่วยป้องกันการเกิดเท้าแบนได้ด้วย


ลักษณะการฝึกเขย่งเท้า


วิธีการฝึก เพื่อนๆสามารถเข้าไปชมได้ที่ลิงค์นี้เลยนะครับ (https://youtu.be/Q8t6TppdN1c) ดูนาทีที่ 2:05 นะครับ


ส่วนจำนวนครั้งในการฝึก แนะนำให้ฝึกวันละไม่ตํ่ากว่า 100 ครั้งนะ โดยทำเฉลี่ยๆเอาก็ได้ครับ และที่สำคัญก็คือ ถ้าปวดที่ตาตุ่มด้านในมากขึ้นขณะที่ฝึก ก็ให้หยุดพักทันทีเลยนะ


ท่าที่ 2 : ยืนขาเดียวบนพื้นนุ่ม


สำหรับท่านี้จะเป็นการฝึกเพิ่มความมั่นคงของข้อเท้า และกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อในอุ้งเท้าให้ออกแรงได้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อในอุ้งเท้าแข็งแรงดี จะช่วยลดอาการปวดได้อีกทางหนึ่ง และยังช่วยป้องกันการเกิดข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง แถมถ้าฝึกไปนานๆยังช่วยให้การวิ่งสลับขาไปมาขณะเลี้ยงลูกฟุตบอลทำได้อย่างคล่องแคล่วมั่นใจอีกด้วยครับ



วิธีการฝึกทรงตัวบนพื้นนุ่ม


โดยพื้นนุ่มๆที่เราหาได้ทั่วไปเลยก็เช่น หมอนใบใหญ่ๆ ผ้าห่มซ้อนทับกันหลายๆชั้น พื้นโซฟา เตียงนอนนุ่มๆ เป็นต้น ซึ่งวิธีดูว่าพื้นนุ่มๆที่เราฝึกยืนเหมาะกับเราไหม ให้ทดลองโดยการขึ้นไปยืนขาเดียวดู ถ้าเราขึ้นไปยืนแล้วรู้สึกว่าทรงตัวลำบากแต่ยังพอทรงตัวได้อยู่แบบนี้ถือว่าโอเค แต่ถ้าขึ้นไปยืนขาเดียวแล้ว ปรากฎว่าไม่เห็ฯความแตกต่างเลยระหว่างยืนขาเดียวบนพื้นธรรมดาหรือยืนบนพื้นนุ่มๆที่เราจัดเตรียมมา แบบนี้ให้เปลี่ยนอุปกรณ์นะครับ 


เหยียบบนพื้นนุ่มๆแต่ละแบบ

แล้วการฝึกก็ให้เราขึ้นไปยืนค้างไว้นิ่งๆเป็นเวลา 1 นาที หรือถ้าทำได้นานกว่านั้นยิ่งดีคับ 


เพื่อนๆสามารถดูวิธีการฝึกได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เพิ่มเติมเลยนะครับ ดูนาทีที่ 5:22 


สรุป


จากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าอาการปวดที่กระดูก navicular ของคุณโต๋นั้น ต้นเหตุจริงๆไม่ได้เกิดจากตัวกระดูก แต่เกิดจากเจ้ากล้ามเนื้อ tibialis posterior มันตึงมากจนไปดึงรั้งเส้นเอ็นรอบๆกระดูก navicular ให้ตึงตามไปทั้งหมดจนเกิดอาการปวดขึ้นแค่นั้นเอง 


แล้วผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักเล็กน้อย ตัวผมเองก็เคยมีอาการปวดใกล้ๆส้นเท้าขวา ตอนแรกก็คิดว่าเป็นรองชํ้าแน่ๆ เวลาเดินลงนํ้าหนักที่เท้าขวามันปวดตุ่ยๆอยู่ตลอด แต่พอกลับมาบ้านได้นั่งพักแล้ว อาการปวดตุ่ยๆที่ใกล้ๆส้นเท้าขวามันยังปวดอยู๋เหมือนเดิมไม่ต่างจากตอนที่เดินเลย 


ตำแหน่งที่ผมปวดตุ่ยๆอยู่ตลอด

พอเป็นแบบนี้ผมก็ชักจะเอะใจแล้วสิ เพราะโดยปกติคนเป็นรองชํ้าจะปวดตอนลงนํ้าหนักเท้าก้าวแรก จะหายปวดเมื่อเดินไปได้พักใหญ่ๆ หรือเมื่อไม่มีการเดินลงนํ้าหนักที่เท้า แต่นี่ทำไมเรายังปวดอยู๋แม้จะนั่งพักแล้วแท้ๆ แบบนี้ไม่น่าจะใช่รองชํ้าแล้วแน่ๆ 


ผมเลยลองนวดตรงส้นเท้าตรงจุดที่เจ็บๆดู แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนแค่โดนกดธรรมดาเท่านั้น จากนั้นก็ลองเลื่อนมือขึ้นมากดแถวหน้าแข้างด้านใน ตรงจุดนั้นมันปวดจี๊ดดดดดดด และปวดร้าวไปที่ส้นเท้าตรงจุดที่ปวดทันทีเลย 


พอเห็นว่าเจอต้นเหตุแล้วแน่ๆ คราวนี้ผมก็กดคลึงตรงหน้าแข้งด้านในอย่างสนุกมือ จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็รู้สึกได้ว่า อาการปวดที่หน้าแข้งและที่ส้นเท้ามันหายไปปลิดทิ้งเลย 


ถ้าเพื่อนๆคนไหนที่มีอาการปวดเหมือนที่คุณโต๋(นามสมมติ)ประสบมา หรือปวดตุ่ยๆที่ส้นเท้าแบบผม ลองกดๆคลึงๆที่หน้าแข้งด้านในดูนะ อ่อ! สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องกดเข้าไปให้ลึกหน่อยนะครับ เพราะกล้ามเนื้อมัดนี้อยู่ลึกพอสมควรเลย