สวัสดีครับ ในบทความนี้ผมจะเล่าเรื่องโรคใกล้ตัวที่เพื่อนๆรู้จักกันดีอย่างโรคเบาหวาน ในมุมมองที่ไม่มีใครนึกถึง แล้วไม่มีใครคาดคิดกันด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงๆของคนไข้รายนี้..
ในเช้าวันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นวันที่แสนจะธรรมดาของป้าเนียม (นามสมมติ) ที่ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพตามหมอนัดเป็นเรื่องปกติ แล้วป้าเนียมจะได้รับยามาทานเพิ่มหลังจากที่ยาชุดเก่าใกล้จะหมดแล้ว เหตุที่ต้องทานยาก็เนื่องมาจากคุณป้ามีโรคยอดฮิตสิงอยู่ในร่างอย่างโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน
ซึ่งการเดินทางของป้าเนียมก็เพียงแค่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของหลาน ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงที่หมายแล้ว
แล้วเมื่อถึงโรงพยาบาล คุณป้าก็เดินตรงไปยังแผนกคลินิกเท้า เพื่อตรวจประเมินลักษณะโครงสร้างเท้า ตรวจรับความรู้สึกของเท้าตามปกติเหมือนที่คนเป็นเบาหวานเค้าต้องตรวจกัน ทันทีที่เดินเข้าไปในคลินิก นักกายภาพคนหนึ่งก็ทักทายแล้วแซวคุณป้าว่า..
"ทำไมวันนี้เดินใส่รองเท้าข้างเดียวมาล่ะป้า?"
ยังไม่ทันที่คุณป้าจะตอบกลับอะไร นักกายภาพท่านนั้นก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจทันที "เฮ้ย ป้าๆ ป้าไปเดินเหยียบอะไรมาเนี้ย เลือดออกเต็มเท้าเลย!!" ว่าแล้วก็ให้คุณป้านั่งลง แล้วจัดการพลิกเท้าขึ้นมาดู สิ่งที่เห็นเต็มตาเลยก็คือ ผิวหนังตรงฝ่าเท้าของคุณป้าหายไป!! เห็นแต่เนื้อแดงๆกับเอ็นขาวๆของพังผืดใต้ฝ่าเท้าของป้า แถมมีรอยเนื้อไหม้บางส่วนอยู่ด้วย แต่ไม่เห็นว่าเนื้อที่เท้ามีรอยโดนตําของตะปูหรือของมีคมแต่อย่างใด แต่ทำไมผิวหนังที่ฝ่าเท้าของคุณป้ายหายไปได้ล่ะ?
ในช่วงที่กำลังงงๆกันอยู่นั้น นักกายภาพก็ตัดสินใจส่งป้าเนียมเข้าห้อง ICU ให้ไปทำแผลทันที ระหว่างที่เข็นรถวีลแชร์ไปส่งคุณป้าที่ห้อง ICU นักกายภาพก็สอบถามเพิ่มเติมว่า เดินทางมายังไง ใครมาส่ง รองเท้าหลุดไปตอนไหนจำได้มั้ย อะไรทำนองนี้ คุรป้าก็ตอบๆกลับมาจึงสรุปได้ความว่า "ให้หลานขับมอเตอร์ไซค์มาส่งที่โรงพยาบาล โดยใส่รองเท้าหูคีบธรรมดาเนี่ยแหละ แล้วคิดว่ารองเท้ามันหลุดระหว่างทางล่ะมั้ง เลยอาจไปเดินเหยียบอะไรเข้าเลยทำให้เป็นแผลเหวอะวะที่เท้าขนาดนี้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าไปเดินเหยียบอะไร เพราะที่เท้าของป้าไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่เลย ไม่เจ็บ ไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นจากโรคเบาหวาน!!"
หลังจากที่ไปส่งที่ห้อง ICU เสร็จก็เดินกลับเข้าแผนกตัวเองตามปกติ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นพื้นตรงทางเดินเข้าแผนกคลินิกเท้าว่ามีรอยเลือดที่เป็นรูปเท้าเป็นจํ้าๆอยู่ ซึ่งก็แน่นอนแหละว่าเป็นรอยเท้าของป้าเนียมแน่นอน โดยรอยเท้าเป็นรอบยาวตามทางเดินจากหน้าโรงพยาบาลเข้ามาเลย นักกายภาพก็เดินตามรอยเลือดเท้าไปจากหน้าแผนกคลินิกเท้า จนไปถึงหน้าโรงพยาบาล แล้วเดินเรื่อยไปจนถึงลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล จนไปสิ้นสุดตรงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง...
ภาพตัวอย่าง รอยเท้าที่เปื้ยนเลือดของป้าเนียมขณะเดินเข้าโรงพยาบาล
นักกายภาพท่านนั้นเห็นหนังไก่ย่างที่ไหม้เกรียมอยู่ตรงท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ แรกๆก็สงสัยว่าใครมันพิเรนเอาหนังไก่มาวางอะไรตรงนี้ แต่เอ๊ะ! ทำไมหนังไก่มันชิ้นใหญ่จังหว่า มองเข้าไปใกล้ๆอีกที เฮ้ย! นี่มันหนังตีนคนนี่หว่า!! แล้วหนังตีนนี่ต้องเป็นของป้าเนียมแน่นอน
พอลำดับเหตุการณ์ไปมาถึงรู้ว่า ป้าเนียมออกจากบ้าน แล้วบังเอิญรองเท้าหลุดไปตอนไหนไม่รู้ แล้วที่แย่ยิ่งกว่าคือ ป้าแกดันเอาเท้าไปวางบนท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ตลอดทางที่วิ่งจากบ้านมาถึงโรงพยาบาล เพราะเข้าใจผิดคิดว่าท่อไอเสียที่เท้าวางอยู่มันคือที่วางเท้า แล้วด้วยความที่ป้าเป็นเบาหวานมานาน จนเส้นประสาทส่วนเท้ามันตายด้านหมดแล้วเลยทำให้ไม่รู้สึกปวดอะไร แต่เพราะความไม่รู้สึกปวดเนี่ยแหละทำให้ผิวหนังที่ฝ่าเท้าต้องไหม้เกรียมจนไม่สามารถเอาหนังมาเชื่อมต่อกันได้แล้ว
ผลก็คือ คุณหมอให้ทางเลือกคุณป้าอยู่ 2 อย่าง คือ
1) ตัดเท้าข้างนั้นทิ้งไปเลย กับ
2) ทำ skin grafting โดยตัดผิวหนังที่ต้นขาบางส่วนมาใช้แทนผิวหนังที่ฝ่าเท้าที่ไหม้เกรียมไป
ทำ skin grafting คือการตัดชิ้นผิวหนังออกมาไปเข้าเครื่องรีดผิวหนังให้แบนแล้วนำไปแปะตรงส่วนที่ผิวหนังหายไป
ซึ่งแน่นอนล่ะครับ ใครจะยอมโดนตัดเท้าออก ป้าเลยขอเลือกวิธีที่ 2 แทน คือการทำ skin grafting แต่ด้วยปัญหาของคนที่เป็นเบาหวานคือ เลือดมันข้นหนืดด้วยนํ้าตาลในกระแสเลือดมีสูงมาก แถมยังเป็นที่เท้าและไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิงอีกด้วย หมอคิดว่าการเอาหนังไปโปะที่เท้าเฉยๆคงไม่ได้ผลแน่นอน จึงต้องเอาฝ่าเท้าข้างที่รักษาไปประกบกับต้นขาด้านในแทน ซึ่งคนไข้จะต้องอยู่ในท่านี้ไปประมาณ 2-3 เดือน จนกว่าร่างกายมันจะฟื้นฟูผิวหนังได้อย่างสมบูรณ์
ภาพตัวอย่าง แสดงท่าที่ป้าเนียมต้องอยู่ในท่านี้ตลอด 2-3 เดือน
ในช่วงระหว่างที่ทำการรักษา ป้าเนียมต้องอยู่ในท่านี้เพื่อแลกกับการไม่โดนตัดเท้าทิ้ง ไม่ต้องกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้ แต่หารู้ไม่ว่า การที่ข้อต่อของร่างกายเรา หากไม่ได้มีการขยับเขยื้อนติดต่อกันนานๆ แค่ 1 เดือนก็เริ่มมีปัญหาข้อติดกันแล้วนะ แต่ป้าต้องอยู่ในท่านี้ร่วมๆ 3 เดือน ผลคือ แผลที่เท้าป้าหายสนิท แต่ป้าก็ยังเดินไม่ได้อยู่ดีเนื่องจากข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้าของป้าเนียมติดแข็งโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถงอเหยียดข้อได้เลย เวลาจะเดินไปไหนป้าต้องใช้ไม้เท้ากระเตงตัวเองไปในท่าฝ่าเท้าแตะต้นขานั่นแหละครับ บางทีป้าโดนตัดเท้าไปอาจจะเดินได้สบายกว่าด้วยซํ้านะ
ภาพตัวอย่าง แม้แผลจะหายแล้ว แต่เวลาเดินไปไหนต้องเดินยืนท่านี้ตลอดจากข้อสะโพก-เข่าติด
สรุป ป้าจะตัดเท้า หรือไม่ตัดเท้าในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปกติอยู่ดี นี่คือผลพวงของโรคที่เรารู้จักกันดีอย่างโรคเบาหวาน แล้วลองคิดต่อไปนะครับว่า คนที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ไปนานๆ จิตใจเค้าจะเศร้าหมองขนาดไหน ขยับไปไหนก็ลำบาก ต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอด ความเชื่อมั่นในตนเองก็ลดลง คนไข้ก็จะจมอยู่กับความคิดในทางลบ หงุดหงิดง่าย ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากพบใครเพราะอายผู้อื่นที่ต้องกลายเป็นคนพิการ วันๆเอาแต่กินแล้วก็นอน พอเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงเรื่อยๆกล้ามเนื้อก็ฝ่อลีบ ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ กลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียง เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะผู้ป่วยก็เสียชีวิตไปอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคแทรกซ้อนสาระพัดจากการนอนติดเตียงนานๆ
หากวันนั้น คนไข้ที่เป็นเบาหวานจนเท้าไร้ความรู้สึกไปแล้วจะระวังตัวเองโดยการใส่รองเท้าหุ้มส้น รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้ารัดข้อต่างๆ เรื่องเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น จริงมั้ยครับ ฉะนั้น หากที่บ้านเพื่อนๆมีญาติพี่น้องที่เป็นโรคเบาหวานอยู่ล่ะก็ โปรดให้ความสำคัญกับรองเท้าให้มากๆ ให้ใส่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน หรือนอกบ้านก็ตามนะ เพราะเรื่องการเจ็บป่วยใหญ่ๆมันเริ่มมาจากเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแทบทั้งนั้นนะครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น