วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อายุเท่ากัน แต่ทำไมดูแก่ไม่เท่ากัน




1) อนุมูลอิสระ 

อนุมูลอิสระนั้นเกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย อาหารที่เราๆท่านๆทานเข้าไปจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานที่เซลล์ชื่อ "ไมโตคอนเดรีย" โดยอาศัยออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปเป็นตัวช่วยสร้างพลังงาน ขณะเดียวกันก็ได้ของแถมที่ชื่ออนุมูลิสระออกมาด้วยเช่นกัน ฉะนั้น หากใครที่ชอบทาน หรือทานเยอะไปนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราดูแก่เรานั่นเองครับ

นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังเกิดจากความเครียด การทานของปิ้งย่าง สูบบุหรี่เป็นประจำ ตากแดดโดนรังสียูวีบ่อย ออกกำลังกายหักโหมเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนขาดหายไปจึงเกิดความไม่เสถียรขึ้น เมื่อเกิดความไม่เสถียรอนุมูลอิสระจึงต้องพยายามหาอิเล็กตรอนมาเติมตัวมันเอให้เสถียรให้ได้ โดยการไปดึงไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ โปรตีนต่างๆทั่วร่างกาย และสารพันธุกรรมของเซลล์ที่เรียกว่า DNA นั่นเองครับ เซลล์จึงเกิดความเสียหาย ผิวเกิดริ้วรอย แก่ก่อนวัย เป็นฝ้ากระต่างๆ รวมทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน อัลไซเมอร์ รวมทั้งมะเร็งด้วย



2) นํ้าตาล ตัวเร่งความแก่

นํ้าตาลกลูโคสที่ลอยไปมาในกระแสเลือดนั้น จะจับกับโปรตีนต่างๆในร่างกาย ทำให้โปรตีนเสื่อมสภาพ ทำงานต่อไปไม่ได้ เช่น ที่ผิวเราจะมีเรียกว่า "คอลลาเจนและอิลาสติน" ถ้านํ้าตาลไปจับกับคอลลาเจนและอิลาสติน จะทำให้ทั้งสองตัวนั้นเกิดการแข็งตัว ไม่มีความยืดหยุ่น เสื่อมสภาพลงไป

เราเรียกปฎิกิริยานี้ว่า "ไกลเคชั่น" และผลที่เกิดจากการจับตัวกันของนํ้าตาลกลูโคสและโปรตีนเรียกว่า "Advanced Glycation End Product" เรียกย่อๆกันว่า AGEs หรือ ชื่อภาษาไทยคือ "สารเร่งความแก่" นั่นเอง

ถ้าเรายิ่งมีสาร AGEs มากก็ทำให้เรายิ่งแก่เร็ว และเมื่อมี AGEs ขึ้นในร่างกายจะส่งผลเสียต่อร่างกาย 2 เด้ง 
เด้งที่ 1 คือ มันจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดสารอนุมูลอืสระ 
เด้งที่ 2 คือ มันจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง 

ซึ่งเราสามารถตรวจวัดระดับของ AGEs ได้โดยการตรวจวัดระดับ A1C  เจ้า A1C ก็คือฮีโมโกลบินที่มีนํ้าตาลมาเกาะ เมื่อระดับนํ้าตาลในเลือดสูง นํ้าตาลก็จะมาจับกับฮีโมโกลบินบนเม็ดเลือดแดงสูงตามไปด้วยนั่นเอง (ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ขนส่งออกซินเจน)



3) รังสี UV จากแสงแดด

ถ้าใครชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ท้าแสงแดด ท้าลมฝนละก็ ถ้าไม่อยากหน้านำอายุต้องระวังศัตรูผิวตัวสำคัญ นั่นคือรังสี UV ที่มาพร้อมกับแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิวเราได้เยอะมากๆ ซึ่งเจ้ารังสีที่ว่ามานี้เป็เนที่รู้จักกันเป้นอย่างดี นั่นคือ UVA และ UVB 

UVA เป็นสาเหตุที่ทำให้เราผิวหยาบกร้าน เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดริ้วรอย หน้าดูนำอายุไปไกล ซึ่งเจ้า UVA นั้นสามารถผ่านเสื้อผ้าและกระจกได้ ต่อให้มีเมฆมากก็ยังสามารถผ่านเข้าสู่พื้นผิวโลกได้ โดยที่เราไม่รู้สึกร้อน แต่ผิวกลับคลํ้าได้ใน 30 นาที นอกจากนี้มันยังซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกกว่า UVB ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน

UVB เป็นสาเหตุทำให้ผิวแดงไหม้ การที่เราโดนแสงแดดมากไป จะส่งผลกระทบในระดับ DNA ของเซลล์ผิว และกดการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังที่ชื่อว่า "เซลล์แลงเกอร์ฮานส์" ซึ่งการเกิดผิวไหมแดดเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ผิวลดลงแล้วนะ



4) การอักเสบเรื้อรัง ฆาตรกรความแก่ลับๆ

การอักเสบนั้นถุกขนานนามว่าเป็น "The Secret Killer" เพราะแอบทำร้ายเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ ผิวแกกว่าวัย สิวอัดเสบ หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง

การอักเสบนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท 

1) การอักเสบเฉียบพลัน (Acute Inflammation) เช่น เมื่อเราเกิดบาดแผลเปิดขึ้น ร่างกายจะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวออกไปยังบริเวณที่มีบาดแผลเพื่อกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน แต่จะเกิดแค่ชั่วคราว

2) การอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation) ถ้านึกไม่ออกว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นยังไง ก็ให้นึกถึงโรคออฟฟิศซินโดรมที่จะมีอาการปวดคอบ่าอยู่ตลอดเวลาของหนุ่มสาววัยทำงานที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะเป็นเวลานานๆ นักวิทยาศาสตรืเปรียบเสมือนกับว่าเป็นไฟในร่างกายที่ลุกไหม้เนื้อเยื่อต่างๆอยู่ตลอดเวลา สาเหตุหลักๆมาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเนี่ยแหละครับที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซํ้าๆกันเป็นเวลานาน วิธีการรักษาการอักเสบก็เพียงแค่ทานอาหารให้ถูกวิธี ลดอาหารที่มีนํ้าตาล และไขมันทรานส์นั่นเองครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น