อัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (bell's palsy)
โรค bell's palsy จัดว่าเป็นโรคหนึ่งที่ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางกายใดๆเลย แต่สร้างความเจ็บปวดทางใจอย่างสุดแสนก็ว่าได้ เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ล้วนเสียความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าเข้าสังคม และรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยอยู่ตลอด เนื่องจากใบหน้าที่พิการครึ่งซีกทำให้ใบหน้าดูบิดเบี้ยว เสียโฉม และที่สำคัญคือเป็นระยะเวลานานหลายเดือนด้วยครับ อย่างโรคเจ็บปวดทางกายทั่วไป ถ้าเราไม่แสดงอาการเจ็บปวดก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นโรค แต่สำหรับ bell's palsy นั้น ผู้ป่วยเหมือนกับมีเครื่องหมายติดอยู่ทีใบหน้าอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ครับ
สาเหตุของ bell's palsy
ในปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเลยครับว่าเกิดจากเชื้อโรคอะไร ได้แต่สันนิจฐานว่าเกิดจากการติดเชื้อเริม เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสอื่นๆ หรืออาจเกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่องไปทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 ชั่วคราว ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกและสั่งการกล้ามเนื้อใบหน้าซีกนั้นๆ ทำให้เกิดภาวะ nerve shock หรือเส้นประสาทช็อกจนหยุดการทำงานชั่วคราว เมื่อไม่มีสัญญาณประสาทมาเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า ผลก็คือกล้ามเนื้อใบหน้าขาดการกระตุ้นความรู้สึก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความตึงตัวลดลง เราจึงเห็นว่าผู้ที่เป็นโรคนี้มีใบหน้าที่เหี่ยวลงข้างนึง และที่แปลกก็คือ มักพบในเพศหญิงที่ตั้งครรภ์หรือเป็นโรคเบาหวานอีกด้วยครับ
ภาพแสดงเส้นประสาทคู่ที่ 7 (facial nerve) มาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า
อาการของผู้ป่วย bell's palsy
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่มีอาการปวดใดๆหรอกครับ แต่จะอาการทางกายครึ่งใบหน้าที่เด่นชัดดังนี้
- คิ้วตก ไม่สามารถยักคิ้วขึ้นได้
- หลับตาไม่สนิท ตาแห้ง มีนํ้าตาไหลอยู่ตลอดเวลา หนังตาตกเหมือนคนลืมตาไม่ขึ้น
- แก้มหย่อน แก้มตก ไม่สามารถยิ้มยิงฟันได้ ขณะที่ยิ้มมุมปากไม่ยกตาม
- ดูดนํ้าจากหลอดแล้วนํ้าจะไหลออกจากมุมปาก
- ทำแก้มป่อง หรือทำปากจู่ไม่ได้
- ขณะเคี้ยวข้าวจะมีนํ้าลายไหลออกจากมุมปาก เนื่องจากปิดปากไม่สนิท
- บางรายอาจมีอาการหูอื้อ หรือลิ้นชาร่วมด้วย
การดูแลรักษาสำหรับโรค bell's palsy
โรคนี้มีข้อดีก็คือสามารถหายเองได้ครับ ไม่ว่าจะเข้ารับการรักษาหรือไม่ก็ตามก็หายได้เองตามธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมแนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคที่แท้จริงและดูว่ามีโรคแทรกซ้อนอื่นๆหรือไม่นั้นจะดีที่สุดนะครับ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เนื่องจากโรคอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกนั้นจะมีอาการคล้ายกับโรคเส้นเลือดสมองอุดตันในระยะเริ่มต้น จนนำไปสู่โรคอัมพาตครึ่งซีกของลำตัว (hemiplegia) นั่นเองครับ ไปพบแพทย์ไว้ก่อนเพื่อความสบายใจนะครับ
ส่วนการรักษาทางกายภาพบำบัดนั้น จะใช้การกระตุ้นไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อใบหน้า ชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อให้ช้าที่สุดเพื่อให้ทันกับการฟื้นตัวของเส้นประสาท นอกจากนี้นักกายภาพยังใช้เทคนิค tapping คือการใช้นิ้วเคาะกล้ามเนื้อใบหน้าแต่ละมัดที่ทำหน้าที่ยักคิ้ว หลับตา หรือยิ้ม เป็นต้น เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความตึงตัว กระตุ้นให้กล้ามเนื้อกลับมาใช้งานได้ตามปกติเร็วขึ้น หากผู้ป่วยไม่กระตุ้นไฟฟ้าหรือเข้ารับการรักษาใดๆเลย ผู้ป่วยก็ยังคงกลับมาหายได้ตามปกตินะครับ เพียงแต่อาจจะกลับมาไม่สมบูรณ์ 100% เช่น กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม แต่ขณะที่ยิ้มริมฝีปากทั้ง 2 ข้างยกสูงไม่เท่ากัน หรือหนังตาตกเมื่อเทียบกับข้างปกติ เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยตนเองทุกวันด้วยเช่นกัน โดยการฝึกยักคิ้ว หลับตาปี๋ ทำจมูกบาน ย่นจมูก ฝึกยิ้มยิงฟัน ยิ้มหุบฟัน อ้าปากค้าง ทำปากจู๋ ทำแต่ละท่าค้างไว้ 10 วินาที จำนวน 10 ครั้ง วนมาจนครบ 3 sets และควรทำหน้ากระจกด้วยนะครับ หากขณะที่ทำสังเหตุเห็นว่ากล้ามเนื้อข้างที่เป็นอัมพาตไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย ให้ใช้นิ้วช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยครับ เช่น ฝึกยักคิ้ว แต่คิ้วค้างขวาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางข้างขวาปัดขึ้นที่เหนือคิ้วข้างขวาเร็วๆรัวๆขณะที่ยักคิ้วค้างไว้ 10 วินาที หรือฝึกยิ้มยิงฟัน ก็ให้ใช้นิ้วปัดที่แก้มแนวเฉียงขึ้นเร็วๆจนครับ 10 วินาที
ในระยะแรกของการรักษานั้น ผู้ป่วยแทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างใดๆเลยครับว่าหน้าดีขึ้น แต่ก็อย่าล้มเลิกหรือเสียกำลังใจไปซะก่อนนะครับ เพราะกว่าเส้นประสาทจะฟื้นตัวก็ใช้เวลามากกว่า 2-3 เดือนอยู่แล้ว ในบางรายที่กระตุ้นทุกวันจนเส้นประสาทฟื้นตัวหายเป็นปกติ ก็พบว่าใบหน้านี่ยกกระชับได้รูปสวยกว่าก่อนเป็นโรค bell's palsy ก็มีให้เห็นมาแล้วนะครับ ^^
เครดิตภาพ
- http://www.headandneckcancerguide.org/adults/cancer-diagnosis-treatments/surgery-and-rehabilitation/cancer-removal-surgeries/parotidectomy/
- http://www.medicalclinicsofnyc.com/bells-palsy/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น