โดยทั่วไปเราอาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ถ้าเราเดินไปไหนไกลๆเป็นเวลานานติดต่อกันจะมีความรู้สึกว่ารองเท้ามันคับ และรู้สึกเท้าบวมขึ้นอีกต่าง ซึ่งเราก็พอเดาได้ว่าเกิดจากสารนํ้าต่างๆไหลไปกองรวมอยู่ที่เท้าจากการใช้งาน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันเป็นเรื่องหน้าแปลกใจตรงที่ "ทำไมเรานั่งเฉยๆแล้วเท้ามันถึงบวมได้ละ?"
อาการเท้าบวมในขณะที่เรานั่งนานๆนั้นมักจะเกิดกับผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินข้ามทวีป หรือแม้กระทั่งนั่งทำงานอยู่ที่ทำงานโดยไม่ลุกไปไหนติดต่อกันหลายชั่วโมงก็รู้สึกว่าเท้าบวมได้เช่นกัน ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า หัวใจไม่ใช่อวัยวะเพียงอย่างเดียวที่ทำหน้าที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยงและนำเลือดกลับมาที่เดิม กล้ามเนื้อก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่คล้ายๆกับหัวใจ เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจากกิจกรรมใดๆก็ตามจะเป็นตัวช่วยปั๊มเลือดหรือสารนํ้าให้ไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
แต่สำหรับผู้โดยสารที่นั่งเครื่องบินเป็นเวลานานๆ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าเราถูกจำกัดอยู่ด้วยพื้นที่ให้ขยับร่างกายไปไหนไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องนั่งนิ่งๆในที่แคบๆอีกต่างหาก แรงโน้มถ่วงของโลกจึงดึงเลือดและสารนํ้าภายในร่างกายลงสู่ที่ตํ่า นั่นก็คือ "เท้า" นั่นเอง
แล้วผลจากสารนํ้าตกไปสู่ที่เท้ามากๆเข้า ร่วมกับกล้ามเนื้อบริเวณขาไม่ได้มีการหดตัวจากการใช้งาน ทำให้เท้าเราบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะคงจะยักไหล่แล้วบอกว่า "เท้าบวมแล้วไง ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหน?" ถ้าใครคิดว่าไม่อันตรายละก้คิดใหม่เลยครับ เพราะมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโรคๆหนึ่งที่ทำให้เราตายได้เลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็คือโรค DVT หรือ โรคหลอดเลือดดำอุดตัน (Deep Vein Thrombosis) นั่นเอง
ภาพแสดงการทำงานของกล้ามเนื้อที่บีบตัวช่วยให้เลือดไหลกลับหัวใจ
โรคนี้มีสาเหตุมาจากการที่เรานั่งท่าเดิมนานๆ เช่น ผู้ที่นั่งเครื่องบิน หรือนั่งทำงานไม่ยอมลุกไปไหนเลยติดต่อกันหลายชั่วโมง จึงทำให้เลือดไปกองรวมกันอยู่ที่เท้า เมื่อเลือดไปปริมาณมากไปกระจุกตัวอยู่ในบริเวณเดียวกันทำให้เลือดได้กลายสภาพเป็นลิ่มเลือดอยู่ภายในหลอดเลือดดำ ลิ่มเลือดเหล่านั้นคงจะไม่ทำอันตรายถึงชีวิตเราได้หรอกครับหากมันยังคงเกาะอยู่ที่เส้นเลือดเช่นเดิม แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปน่ะสิ เพราะทันทีที่เราเปลี่ยนอิริยาบทจากนั่งเป็นเดินหลังจากลงเครื่องบิน จะทำให้หัวใจและกล้ามเนื้อบีบตัวแรงมากขึ้นกว่าตอนที่นั่งอยู่ เป็นผลให้แรงดันภายในหลอดเลือดสูงขึ้นจนไปดันให้ลิ่มเลือดที่เกาะอยู่ตามผนังหลอกเลือดดำหลุดออกมาไหลเวียนไปที่ปอดจนเกิดการอุดตันเพราะถุงลมภายในปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้จากลิ่มเลือดที่เข้าไปอุดตันอยู่ และต่อให้ลิ่มเลือดไม่ไปอุดตันที่ปอดก็อาจไปอุดตันที่เส้นเลือดฝอยภายในสมองจนเกิดภาวะสมองขาดเลือดเป็นอัมพาตก็ได้เช่นกัน
ซึ่งคนที่เป็นโรค DVT จะมีอาการเท้าบวม เป็นตะคริวได้ง่ายแม้นั่งเฉยๆ เส้นเลือดโป่งพอง มีอาการปวดขาแบบกว้างๆ แต่ก็น้อยคนจะสนใจเพราะคิดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อทั่วไป กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ก็ตอนที่เข้าโรงพบาลเรียบร้อยแล้วละครับ จัดว่าเป็นภัยเงียบที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงจริงๆ
ภาพแสดงลิ่มเลือดเกาะที่ผนังหลอดเลือดดำ
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดโรค DVT ก็คือ หมั่นเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆครับ ลุกขึ้นเดินๆทุกๆ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่บนเครื่องบินก็ให้หมั่นขยุ้มเท้า เหยียดขา ยกขาสลับกัน 2 ข้าง (เหมือนท่าตีเข่า แต่ทำในท่านั่ง) หมุนข้อเท้า และถ้าเป็นไปได้ก็ลุกไปเข้าห้องนํ้าทุกๆชั่วโมงเลยก็ดีครับ จะได้ยืดเส้นยืดสายให้เต็มที่ไปเลย
เราจะสังเกตุได้ว่า ในปัจจุบันนี้ผู้คนล้มป่วยกันง่ายขึ้น บ้างก็เป็นตั้งแต่หนุ่มสาว โดยส่วนใหญ่โรคต่างๆที่เกิดขึ้นก็มักเกิดจากพฤติกรรมผิดๆในการใช้ชีวิตของเราแทบทั้งสิ้นนะครับ
เครดิตภาพ
- http://www.revitive.com/supporting-evidence-for-ems/
- http://www.webdicine.com/varicose-veins-and-deep-vein-thrombosis-what-is-the-difference.html
- http://www.telegraph.co.uk/telegraph/news/aviation/?showPageNumber=3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น